Dofollow คืออะไร?
หวัดดีครับเพื่อนๆ ชาวเว็บไซต์และสายทำคอนเทนต์ทุกคน! เพื่อน ๆ เคยได้ยินคำว่า “Backlink” กันใช่ไหมครับ? แล้วเคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงพูดคำว่า “Dofollow” กับ “Nofollow” พ่วงมาด้วยตลอด มันคือโค้ดลับอะไรกันแน่?
วันนี้เราจะมาลุยเรื่องนี้กันแบบหมัดต่อหมัด ชนิดที่ว่าอ่านจบแล้วเก็ทเลย ไม่ต้องไปนั่งงงที่ไหนอีกต่อไป ลองนึกภาพตามนะครับว่าอินเทอร์เน็ตคือเมืองใหญ่ๆ เว็บไซต์ของเราคือบ้าน ส่วน Backlink ก็เหมือนถนนที่เชื่อมบ้านเรากับบ้านคนอื่น… แต่ถนนบางเส้นมันมี “ป้ายไฟเขียว” ส่วนบางเส้นก็มี “ป้ายบอกทางตัน” ไอ้เจ้า Dofollow นี่แหละครับคือ “ป้ายไฟเขียว” ที่ว่า!
Dofollow แบบบ้านๆ มันคืออะไรกันแน่?
พูดให้ง่ายที่สุด Dofollow คือการที่เว็บหนึ่ง “โหวต” หรือ “แนะนำ” อีกเว็บหนึ่งอย่างเป็นทางการครับ
มันคือการบอกกับ Google ว่า “เฮ้ Google! เว็บไซต์ที่ฉันลิงก์ไปเนี่ย ของดีจริงนะ ฉันการันตี! ช่วยให้คะแนนความน่าเชื่อถือกับเว็บนั้นเพิ่มไปด้วยเลย”
คะแนนที่ว่านี้ ในภาษา SEO เราเรียกว่า “Link Juice” หรือ พลัง SEO ซึ่งการที่ลิงก์เป็นแบบ Dofollow (ซึ่งเป็นค่าพื้นฐานของทุกลิงก์อยู่แล้ว) ก็เหมือนการส่งต่อพลังนี้ข้ามเว็บไซต์ ช่วยให้เว็บที่ได้รับลิงก์มีโอกาสติดอันดับบน Google ได้ดีขึ้นนั่นเองครับ
แล้ว Nofollow ล่ะ? คู่ตรงข้ามที่ต้องรู้จัก
เมื่อมี “ไฟเขียว” ก็ต้องมี “ไฟแดง” ใช่ไหมครับ? Nofollow ก็คือคู่ตรงข้ามโดยสิ้นเชิง มันคือลิงก์ที่บอกกับ Google ว่า “ฉันจะพูดถึงเว็บนี้นะ แต่ไม่ได้จะแนะนำหรือโหวตคะแนนให้ Google ไม่ต้องตามไปเก็บคะแนนนะ”
เว็บมาสเตอร์มักจะใช้ rel="nofollow" ในโค้ดลิงก์สำหรับ:
- ลิงก์โฆษณา หรือลิงก์ที่เสียเงินซื้อมา (Paid Links): เพื่อความโปร่งใสกับ Google
- คอมเมนต์ในบล็อก หรือโพสต์ในเว็บบอร์ด: ป้องกันการสแปมลิงก์จากผู้ใช้งาน
- ลิงก์ไปยังเว็บที่เราไม่แน่ใจในคุณภาพ: เหมือนการพูดถึงเฉยๆ แต่ไม่ขอเอาชื่อเสียงไปรับประกัน
สรุปสั้นๆ ให้จบใน 2 บรรทัด
Dofollow = แนะนำ + ให้คะแนน Nofollow = พูดถึงเฉยๆ + ไม่ให้คะแนน
Dofollow vs Nofollow ต่างกันยังไง? ดูตารางนี้จบเลย!
ทำไม Dofollow Backlink ถึงเป็นของดีที่ทุกคนอยากได้?
ก็เพราะว่ามันคือหนึ่งในปัจจัยที่ทรงพลังที่สุดในการทำ SEO ยังไงล่ะครับ!
- สร้างความน่าเชื่อถือ (Authority): ยิ่งเราได้ลิงก์ Dofollow จากเว็บใหญ่ๆ ที่น่าเชื่อถือมากเท่าไหร่ Google ก็จะมองว่าเว็บเราเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ในเรื่องนั้นๆ มากขึ้นเท่านั้น
- เพิ่มโอกาสติดอันดับ: พลัง SEO ที่ถูกส่งต่อมาช่วยดันอันดับคีย์เวิร์ดของเราให้สูงขึ้นในหน้าผลการค้นหา
- ได้ทราฟฟิกคุณภาพ: คนที่คลิกลิงก์มาจากเว็บอื่น คือคนที่สนใจเรื่องนั้นจริงๆ ทำให้เราได้ผู้เข้าชมที่มีคุณภาพ
วิธีเช็กลิงก์ง่ายๆ ว่าเป็น Dofollow หรือ Nofollow?
อยากรู้ว่าลิงก์ที่เราเห็นเป็นแบบไหน? ทำได้ 2 วิธีง่ายๆ ครับ
- วิธีนักสืบ (คลิกขวา)
- ไปที่หน้าเว็บที่มีลิงก์นั้น
- คลิกขวาที่ลิงก์ แล้วเลือก “Inspect” (หรือ ตรวจสอบ)
- จะมีหน้าต่างโค้ดเด้งขึ้นมา ให้ดูที่โค้ดของลิงก์นั้น ถ้าเจอคำว่า
rel="nofollow"ก็แปลว่าเป็น Nofollow แต่ถ้าไม่เจออะไรเลย ก็คือ Dofollow ครับ!
- วิธีสายสะดวก (ใช้ส่วนขยาย)
- ติดตั้งส่วนขยาย (Extension) ของเบราว์เซอร์อย่าง “NoFollow” หรือ “SEOquake“
- เมื่อเปิดใช้งาน ส่วนขยายเหล่านี้มักจะทำกรอบสีแดงรอบๆ ลิงก์ที่เป็น Nofollow ให้เราเห็นทันที สะดวกมากๆ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Dofollow
ลิงก์ Nofollow ไม่มีประโยชน์เลยใช่ไหม?
ไม่จริงครับ! แม้จะไม่ส่งพลัง SEO โดยตรง แต่ Nofollow ยังช่วยในเรื่อง Brand Awareness (ทำให้คนรู้จักแบรนด์เรา) และที่สำคัญคือมันช่วยขับเคลื่อนทราฟฟิกจริงๆ มาที่เว็บเราได้ แถมยังทำให้โปรไฟล์ Backlink ของเราดูเป็นธรรมชาติในสายตา Google อีกด้วย
เราควรทำทุกลิงก์ในเว็บเราเป็น Dofollow หรือเปล่า?
ไม่จำเป็นครับ โดยเฉพาะลิงก์ที่ชี้ออกไปเว็บอื่น (External Links) ถ้าคุณจะลิงก์ไปเว็บโฆษณา หรือเว็บที่ไม่แน่ใจ ก็ควรใส่ Nofollow ไว้เพื่อความปลอดภัยของเว็บเราเองครับ
จะหา Dofollow Backlink คุณภาพได้จากที่ไหน?
หัวใจหลักคือ “การสร้างคอนเทนต์ที่ยอดเยี่ยม” จนคนอื่นอยากจะลิงก์มาหาเราเองครับ แต่วิธีอื่นๆ ก็มีเช่น การเขียนบทความ (Guest Post) บนเว็บอื่น, การสร้างเครื่องมือฟรีให้คนใช้, หรือการทำรีเสิร์ช/ข้อมูลที่น่าสนใจ เป็นต้น
สรุป
ตอนนี้เพื่อนๆ ก็น่าจะเข้าใจเรื่อง Dofollow แบบเคลียร์ๆ แล้วนะครับว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเลย หัวใจของมันก็คือ “การแนะนำอย่างจริงใจ” ในโลกออนไลน์ การมี Dofollow Backlink ที่ดีก็เหมือนมีเพื่อนเยอะคอยช่วยเชียร์เราให้ Google ฟัง ในขณะที่ Nofollow ก็มีบทบาทสำคัญในการทำให้ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติ
รอบหน้าเวลาคุณสร้างลิงก์หรือไปเจอลิงก์ที่ไหน ลองใช้สกิลนักสืบเช็กดูนะครับ รับรองว่าจะมองการทำ SEO สนุกขึ้นอีกเยอะเลย!